27 มกราคม 2557
27 มกราคม 2557

2014 AXS Partner Summit Keynote

The following keynote was delivered by Evan Spiegel, CEO of Snapchat, at the AXS Partner Summit on January 25, 2014.

ผมคิดอยู่เสมอว่าเป็นเรื่องค่อนข้างแปลกที่เราใช้ชื่อเรียกยุคของเรานี้ในประวัติศาสตร์ว่ายุค “หลังคอมพิวเตอร์ส่วนตัว” ซึ่งจริง ๆ แล้วควรเรียกว่าเป็นยุค “คอมพิวเตอร์ส่วนตัวมากขึ้น” มากกว่า

เมื่อวานนี้ผมได้อ่านเรื่องราวที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่งชื่อคุณ Macintoshเขาเป็นชายที่ Steve Jobs ออกแบบมาเพื่อให้อยู่ในคอมพิวเตอร์แมคอินทอชตั้งแต่ตอนที่เปิดตัวครั้งแรก ครบ 30 ปีพอดีนับจากเมื่อวานเขามักปรากฏกายให้เห็นเป็นครั้งคราว ซ่อนอยู่ด้านหลังเมนูดึงลง หรือโผล่ออกมาจากด้านหลังไอคอนอย่างรวดเร็ว และไม่บ่อยจนเกินไป พอให้คุณเกือบคิดไปว่าเขาไม่มีตัวตนอยู่จริง

ก่อนหน้าเมื่อวานนี้ ผมไม่เคยได้รู้เลยว่าความคิดของ Steve ที่ต้องการผูกชายคนนี้ให้อยู่กับคอมพิวเตอร์นั้นได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เขาเริ่มต้นในสายงานของเขาแต่ในช่วงเวลานั้น เครื่องแมคอินทอชได้ถูกวางขายออกไปโดยที่ยังไม่มี Mister Macintosh เนื่องจากนักวิศวกรนั้นทำงานได้กับหน่วยความจำที่จำกัดอยู่แค่เพียง 128 กิโลไบต์เท่านั้นเวลาได้ล่วงเลยไปไม่นานนัก ที่ Steve ได้ผูกชายคนนี้ไว้กับเครื่องจักรได้จริง นั้นคือเมื่อเขาเปิดตัว iPhone ในวันที่ 29 มิถุนายน ปี 2007

ในอดีต ข้อจำกัดทางเทคนิคหมายถึงคอมพิวเตอร์มักจะถูกค้นพบในสถานที่ที่จับต้องได้จริงไม่ว่าจะเป็น รถ บ้าน โรงเรียนแต่ iPhone สามารถผูกคอมพิวเตอร์เข้ากับหมายเลขโทรศัพท์ได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และผูกอยู่กับตัวคุณเช่นกัน

ไม่นานมานี้เองที่การสื่อสารนั้นขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ตั้งเราต้องอยู่ในห้องเดียวกันด้วยกัน จึงจะสามารถพูดคุยกันแบบตัวต่อตัวได้ หรือหากเราอยู่ห่างกันคนละซีกโลก เราจะต้องโทรเข้าไปที่ทำงาน หรือส่งจดหมายไปที่บ้านเมื่อเร็ว ๆ นี้เองที่เราเริ่มผูกหมายเลขโทรศัพท์กับตัวตนของแต่ละบุคคลไว้ด้วยกัน เพื่อจุดประสงค์ในการประมวลผลและการสื่อสาร

ที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้เพื่อสรุปว่าสมาร์ทโฟนคือจุดสูงสุดของเส้นทางของ Steve ในการทำให้สามารถระบุตัวตนของบุคคลได้ด้วยเครื่องจักรของ และทำให้ยุคคอมพิวเตอร์ส่วนตัวมากขึ้นนั้นเกิดขึ้นได้จริง

คุณสมบัติ 3 ประการที่พิเศษของคอมพิวเตอร์ส่วนตัวมากขึ้น และเกี่ยวข้องกับการทำงานของเราที่ Snapchat คือ:

1) อินเทอร์เน็ตทุกหนแห่ง

2) สร้างสื่อได้อย่างรวดเร็ว + ง่ายดาย

3) ความไม่จีรัง

เมื่อเราเริ่มทำงานกับ Snapchat ครั้งแรกในปี 2011 ในตอนนั้นดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่ของเล่นและด้วยหลายเหตุผลก็ยังถือว่าเป็นของเล่นอยู่ แต่หากอิงกับคำคมของ Eames ที่ว่า “ของเล่นไม่ได้มีความบริสุทธิ์ตามรูปลักษณ์ที่เห็นของเล่นและเกมคือบทนำที่นำพาไปสู่ความคิดอันมุ่งมั่น”

เหตุผลในการใช้ของเล่นไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบาย ก็แค่อยากเล่นสนุกแต่การใช้ของเล่นเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมในการเรียนรู้

และเราก็ได้เรียนรู้กันจริง ๆ

อินเทอร์เน็ตทุกหนแห่งหมายถึง แนวคิดแบบเก่าของเราที่แยกโลกนี้ออกเป็นสองพื้นที่แบบออนไลน์และออฟไลน์นั้นจะไม่สัมพันธ์กับปัจจุบันอีกต่อไปโซเชียลมีเดียแบบดั้งเดิมต้องการให้เราได้สัมผัสประสบการณ์การใช้ชีวิตอยู่ในโลกออฟไลน์ บันทึกประสบการณ์เหล่านั้น จากนั้นโพสต์ออนไลน์เพื่อสร้างประสบการณ์ขึ้นอีกครั้ง และพูดคุยกัน เช่น ฉันกำลังหยุดพักร้อน ถ่ายรูปภาพมากมาย และกลับมาบ้าน เลือกรูปที่สวย ๆ โพสต์ออนไลน์ และพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์นั้นกับเพื่อน ๆ

มุมมองแบบดั่งเดิมเกี่ยวกับโซเชียลมีเดียที่มีต่อตัวตนของบุคคลนั้นค่อนข้างสุดโต่ง: ตัวตนของคุณคือสิ่งที่หล่อหลอมมาจากประสบการณ์ที่คุณได้เผยแพร่หรือที่รู้จักกันว่า: รูปภาพคือสิ่งยืนยัน ไม่เช่นนั้นจะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น

หรือในกรณีของ Instagram: มีภาพสวย ๆ ไว้โชว์ ไม่เช่นนั้นจะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น และคุณไม่มีความเก๋

แนวคิดของโปรไฟล์นั้นมีความสมเหตุสมผลสำหรับประสบการณ์แบบไบนารีทั้งออนไลน์และออฟไลน์โดยถูกออกแบบขึ้นเพื่อสร้างตัวตนที่แท้จริงบนโลกออนไลน์ เพื่อให้ผู้คนเข้าหาได้แม้ว่าเราจะไม่ได้เข้าระบบ ณ เวลานั้นก็ตาม

Snapchat ต้องอาศัยความมีอินเทอร์เน็ตทุกหนแห่งในการมอบประสบการณ์ที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงSnapchat บอกกับเราว่าตัวตนของเรานั้นไม่ได้หล่อหลอมมาจากสิ่งที่เราเคยพูดหรือเคยกระทำ หรือประสบการณ์ที่เคยผ่านมา หรือที่ได้เผยแพร่ แต่เราคือผลลัพธ์ต่างหากเราเป็นตัวเราในวันนี้ ตอนนี้

เราไม่จำเป็นต้องไล่ไขว่คว้า “โลกแห่งความจริง” และสร้างมันขึ้นมาใหม่บนโลกออนไลน์อีกต่อไป เราเพียงแค่ใช้ชีวิตง่าย ๆ และสื่อสารในเวลาเดียวกัน

การสื่อสารนั้นอาศัยการสร้างสื่อ และถูกจำกัดด้วยความเร็วที่ใช้ในการสร้างสื่อ หรือแบ่งปันสื่อซึ่งต้องใช้เวลาในการเก็บอารมณ์ ความรู้สึกและความคิดเพื่อสร้างสรรค์เนื้อหาของสื่อ เช่น การพูด การเขียน หรือการถ่ายภาพ

แน่นอนว่ามนุษย์ได้ใช้สื่อเพื่อทำความเข้าใจตนเองและแบ่งปันกับผู้อื่นผมจะยกอ้างคำแปลภาษาเกลิกของ Robert Burn ที่ว่า “โอ้ จะมีพลังอำนาจใดที่จะมอบของขวัญแก่เรา เพื่อเห็นตัวเราดังเช่นที่คนอื่นเห็น”

เมื่อผมได้ฟังคำกล่าวนั้น ผมก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงภาพเหมือนของตัวเองหรือสำหรับเราชาวมิลเลนเนียลนั้นคือ การเซลฟีนั้นเองภาพเหมือนของตัวเองช่วยให้เราเข้าใจวิธีที่คนอื่นมองเห็นเรา ซึ่งสามารถแสดงให้เห็นว่าเรารู้สึกอย่างไร เราอยู่ที่ใด และเรากำลังทำอะไรอยู่เป็นรูปแบบของการแสดงตัวตนที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

ในอดีตที่ผ่านมา ภาพเหมือนของตัวเองจะใช้เวลาหลายสัปดาห์และต้องปัดพู่กันนับล้านครั้งกว่ารูปจะออกมาสมบูรณ์ในโลกของการสร้างสื่ออย่างรวดเร็ว + ง่ายดาย เซลฟีนั้นเป็นไปได้ในทันทีทันใดซึ่งเป็นการแสดงถึงตัวตนที่เราเป็นและสิ่งที่เรารู้สึก ณ ตอนนี้

และจนถึงตอนนี้กระบวนการถ่ายภาพก็ช้าเกินไปสำหรับการสนทนาเสียแล้วแต่ด้วยการสร้างสื่ออย่างรวดเร็ว + ง่ายดาย ทำให้เราสามารถสื่อสารผ่านภาพถ่าย ไม่ใช่แค่การสื่อสารที่มีภาพถ่ายเป็นส่วนประกอบแบบที่ทำบนโซเชียลมีเดียเท่านั้นเมื่อเราเริ่มสื่อสารผ่านสื่อแล้ว เราก็เหมือนมีไฟลุกโชนเป็นอะไรที่สนุกดี

เซลฟีเหมาะกับการเป็นหน่วยพื้นฐานของการสื่อสารบน Snapchat เพราะถือเป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงจากการใช้สื่อดิจิทัลเป็นวิธีแสดงออกของตัวตน ไปยังการใช้สื่อดิจิทัลเป็นการสื่อสาร

และนำเราไปสู่ความสำคัญของความไม่จีรังที่แก่นของการสนทนา

Snapchat ละทิ้งเนื้อหาเพื่อเน้นที่ความรู้สึกที่เนื้อหาส่งถึงคุณ ไม่ใช่ลักษณะหน้าตาของเนื้อหาซึ่งเป็นความคิดแบบอนุรักษ์นิยม การตอบสนองตามธรรมชาติต่อเนื้อหาที่ตรงไปตรงมาไม่มีปัจจัยอื่นเจือปน จะช่วยนำพาความซื่อตรงและความมีบริบทกลับมาสู่การสนทนา

Snapchat ตั้งความคาดหวังกับการสนทนาเช่นเดียวกับความคาดหวังที่เรามีเมื่อเราสนทนากับฝ่ายตรงข้ามตัวต่อตัว

และนี่เองคือสิ่งที่ Snapchat เป็นพูดคุยผ่านเนื้อหา ไม่ใช่นอกเหนือประเด็น กับเพื่อนของเราเอง ไม่ใช่คนแปลกหน้าตัวตนที่เชื่อมโยงกับปัจจุบัน วันนี้พื้นที่สำหรับการเติบโต ความเสี่ยงทางอารมณ์ การแสดงออก ความผิดพลาด พื้นที่สำหรับคุณ

ยุคแห่งการใช้คอมพิวเตอร์ที่ส่วนตัวมากขึ้นนี้มีโครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิคเพื่อการสื่อสารส่วนตัวมากขึ้นเรารู้สึกโชคดีมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์นี้

Snapchat เป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้นจากหัวใจ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราจึงอยู่ในลอสแองเจลิสผมมักจะพูดคุยกับผู้คนเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างบริษัทเทคโนโลยีกับบริษัทผลิตเนื้อหา ผมได้พบว่าหนึ่งในปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือ บ่อยครั้งที่บริษัทเทคโนโลยีมองว่าภาพยนตร์ เพลง และโทรทัศน์เป็นเหมือนข้อมูลแต่ผู้กำกับ ผู้จัด นักดนตรี และนักแสดงกลับมองว่าเป็นความรู้สึก เป็นการแสดงออกของตัวตนไม่จำเป็นต้องค้นหา แยกประเภท และเรียกดู แต่เป็นการรับประสบการณ์

Snapchat มุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์ของการสนทนา ไม่ใช่การถ่ายโอนข้อมูลเรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนนี้

ขอบคุณที่เชิญผมมาในวันนี้และขอขอบคุณสำหรับการเป็นส่วนหนึ่งในการเดินทางของเราทีมของเราหวังว่าจะได้ทำความรู้จักกับพวกคุณทุกคน

Back To News