
We Stand Together
Snap CEO Evan Spiegel sent the following memo to all Snap team members on Sunday, May 31. In it he condemns racism while advocating for creating more opportunity, and for living the American values of freedom, equality and justice for all.
เรียน ทีมงานทุกท่าน
ตามที่ Lara ได้กล่าวไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เรากำลังวางแผนที่จะพูดคุยเรื่องการเสียชีวิตของ George, Ahmaud, และ Breonna ในเช้าวันพรุ่งนี้ที่ Snap in Focus แต่เนื่องจากผมได้ต่อสู้เรื่องความรุนแรงและความไม่ยุติธรรมต่อคนผิวสีในอเมริกามาเป็นเวลาอันยาวนาน ผมจึงรู้สึกผิดถ้าจะรอต่อไปทุกนาทีที่เรานิ่งเงียบเมื่อเราเผชิญกับความชั่วร้ายและการกระทำผิด ย่อมหมายถึงว่าเรากำลังสนับสนุนผู้กระทำความชั่วร้ายดังกล่าวผมขอโทษที่ผมรอที่จะเล่าความรู้สึกของผมให้คุณได้ฟัง
ผมรู้สึกโศกเศร้าและโกรธแค้นในสิ่งที่คนผิวดำ และคนผิวสีอื่นๆ ในอเมริกาถูกกระทำ
ผมได้รับรู้ถึงการดิ้นรนเพื่อเสรีภาพ ความเท่าเทียม และความยุติธรรมตั้งแต่ผมอายุยังน้อยคุณพ่อของผมปฏิบัติหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทั่วไปของ Christopher Commission (และเมื่อโชคชะตาแปรผันไป ไมค์ ที่ปรึกษาทั่วไปของเราก็ทำงานอยู่ที่องค์กรนี้เช่นกัน) คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสอบสวนการเหยียดเชื้อชาติและการใช้กำลังเกินกว่าเหตุในกรมตำรวจลอสแองเจลิส สืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่ Rodney King ถูกซ้อมที่นี่ในลอสแองเจลิส ปี 1991คณะกรรมการนี้พบการเหยียดเชื้อชาติและการใช้กำลังเกินกว่าเหตุอย่างกว้างขวางซึ่งไม่ได้รับการตรวจสอบใดๆ จากผู้นำคำแนะนำที่พวกเขากล่าวเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว ยังคงมีความเกี่ยวข้องอย่างน่ากลัวจนถึงทุกวันนี้
ในเวลาต่อมา ผมมีโอกาสในทำงานและเรียนในแอฟริกาใต้ ที่ซึ่งผมได้รับสิทธิพิเศษในการพบปะหนึ่งในฮีโร่ของผม ท่านบิชอปทูตูผมได้เห็นเหตุการณ์ความหายนะแห่งนโยบายการแบ่งแยกสีผิวและมรดกตกทอดการเหยียดเชื้อชาติ แต่ก็ยังเห็นความพยายามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยต่อความคืบหน้าและการปรองดองด้วยตอนผมอยู่ปีสุดท้ายที่ Stanford ผมอาศัยอยู่ใน Ujamaa หอพักมหาวิทยาลัยที่อุทิศให้แก่ชุมชนผิวดำ (ซึ่งผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่เป็นชาวผิวดำ)แม้จะอยู่ท่ามกลางสิทธิพิเศษอันยิ่งใหญ่ที่ Stanford แต่ยังมีสิ่งต่างๆ อีกมากมายให้เรียนรู้เกี่ยวกับความอยุติธรรมของการเหยียดสีผิวทุกวันในสังคมของเรา
ผมแบ่งปันเรื่องนี้ไม่ใช่เพื่อชี้นำความเข้าใจโดยตรงถึงประสบการณ์การใช้ชีวิตของคนผิวดำในสหรัฐอเมริกา แต่เพื่ออธิบายว่า เป็นระยะเวลาเกือบ 30 ปีที่ผมได้เห็นหรือเข้าร่วมในการเรียกร้องความยุติธรรมที่มีพลัง มีเหตุผลที่ดี และต่อเนื่องในอเมริกาและทั่วโลก หลังจากนั้น 30 ปี แม้ว่าจะมีการเรียกร้องให้เกิดความเปลี่ยนแปลงจากผู้คนหลายล้านคน แต่ความคืบหน้าในเรื่องนี้กลับมีเพียงน้อยนิดความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจในอเมริกาพุ่งถึงระดับที่มองไม่เห็นมาเป็นระยะเวลาเกือบศตวรรษ คนผิวสีไม่สามารถไปร้านสะดวกซื้อหรือไปวิ่งออกกำลังกายโดยที่ไม่ต้องกลัวการถูกฆาตกรรมที่เอาผิดอะไรคนลงมือไม่ได้ พูดง่ายๆ ก็คือ การทดลองของชาวอเมริกันนั้นกำลังล้มเหลว
ผมแบ่งปันเรื่องนี้เนื่องจากผมเชื่อในคำพูดของ MLK ที่ว่า "การจลาจลเป็นภาษาของผู้ที่เสียงไม่เคยถูกรับฟัง" และผู้ที่สนับสนุนการเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างสันติมาเป็นระยะเวลาหลายศตวรรษนั้น ได้เห็นความก้าวหน้าในวิสัยทัศน์เรื่องเสรีภาพ ความเท่าเทียมและความยุติธรรมสำหรับทุกคนที่อเมริกาได้สัญญาไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นผมเข้าใจว่าเหตุใดผู้ที่กำลังก่อการประท้วงนั้นจึงรู้สึกว่าไม่มีใครรับฟัง
ในการปราศรัยแรกที่ Stanford Women ในการประชุมทางธุรกิจเมื่อปี 2013 ซึ่งผมได้รับเชิญให้เข้าร่วมหลังจากที่เราสร้าง Snapchat แล้ว ผมประกาศว่า "ผมเป็นผู้ชายผิวขาวที่มีการศึกษาและยังหนุ่มผมโชคดีเป็นอย่างยิ่งและชีวิตก็ไม่ยุติธรรมเลย"ผมรู้สึกว่านี่มีความสำคัญอย่างมากที่จะระบุถึงสิทธิพิเศษของผมและรับรู้ถึงความอยุติธรรมในสังคมของเรา โดยเฉพาะต่อหน้าผู้นำทางธุรกิจเพศหญิงผู้ซึ่งต้องรับมือกับความอยุติธรรมเหล่านี้ในทุกวันการรับรู้ถึงสิทธิพิเศษของผมเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญสำหรับผม เพราะมันช่วยให้ผมได้รับฟังประสบการณ์ของผมในฐานะชายผิวขาวผู้มั่งคั่งนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับความอยุติธรรมที่เพื่อนพ้องชาวอเมริกันของพวกเราประสบมาการเข้าใจถึงสถานการณ์อันเลวร้ายของผู้ที่แตกต่างจากผม ช่วยให้ผมเป็นพันธมิตรที่ดีขึ้นได้ในการต่อสู้นี้
แนวคิดพื้นฐานที่อยู่เบื้องหลังการสร้างประเทศของพวกเราคือความคิดที่ว่า สถานการณ์การถือกำเนิดของคุณนั้นไม่ได้กำหนดเส้นทางชีวิตของคุณผู้ก่อตั้งของเราคิดว่าแนวคิดที่พระเจ้าเลือกกษัตริย์องค์เดียวนั้นไร้สาระ พระเจ้าเลือกพวกเราทุกคนและรักพวกเราทุกคนอย่างเท่าเทียมกันพวกเขาต้องการสร้างสังคมที่สะท้อนถึงความรักของพระเจ้า และแนวคิดที่ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในพวกเราทุกคนพระเจ้าไม่ได้เชื่อว่าพวกเราคนใดสมควรได้รับความรักมากหรือน้อยไปกว่ากัน
แน่นอนว่า ท่านบิดาผู้ก่อตั้งที่สนับสนุนค่านิยมแห่งเสรีภาพ ความเท่าเทียม และความยุติธรรมสำหรับทุกคนนั้น ส่วนใหญ่เป็นเจ้าของทาสวิสัยทัศน์อันทรงพลังของประเทศหนึ่งที่สร้างขึ้นโดยประชาชนเพื่อประชาชนนั้น ถูกสร้างขึ้นบนรากฐานแห่งความอคติ ความอยุติธรรม และการเหยียดเชื้อชาติหากไม่กล่าวถึงรากฐานอันเน่าเฟะนี้และความล้มเหลวอย่างต่อเนื่องในการสร้างโอกาสสำหรับพวกเราทุกคน พวกเราก็กำลังรั้งตนเองไว้ไม่ให้ตระหนักถึงความสามารถที่แท้จริงของตนเองในความก้าวหน้าของมนุษย์ และจะยังคงขาดวิสัยทัศน์ที่กล้าหาญในเรื่องของเสรีภาพ ความเท่าเทียม และความยุติธรรมสำหรับทุกคนต่อไป
บ่อยครั้งที่เพื่อนๆ สมาชิกทีม ผู้สื่อข่าว และพันธมิตร ถามผมว่า เราสามารถทำสิ่งใดได้บ้างเพื่อสร้างความแตกต่างด้วยตระหนักว่าผมไม่มีทางที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญ และในอายุ 29 ปี ผมมีอะไรต้องเรียนรู้มากมายเกี่ยวกับการทำงานของโลก ผมจะแบ่งปันมุมมองของผมในสิ่งที่ต้องทำเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงที่เราปรารถนาในอเมริกาที่ด้านล่างนี้เราไม่สามารถยุติการเหยียดเชื้อชาติแบบเป็นระบบนี้ได้ถ้าไม่สร้างโอกาสให้กับประชาชนทุกคน ไม่ว่าภูมิหลังของพวกเขาจะเป็นอย่างไรก็ตาม
ประการแรก สำคัญมากที่จะต้องทำความเข้าใจว่า จากมุมมองของผมนั้น อเมริกาในยุคสมัยใหม่นี้ส่วนใหญ่จะถูกกำหนดขึ้นจาก "แนวคิดใหญ่" ซึ่งประธานาธิบดี Reagan และคนอื่นๆ เป็นผู้ผลักดัน โดยเชื่อว่า ธุรกิจต่างๆ ควรเป็นเครื่องจักรสำหรับความก้าวหน้าและรัฐบาลไม่ควรเข้ามายุ่งตามจริงแล้ว การลดภาษีและการยกเลิกกฎระเบียบช่วยให้เศรษฐกิจของอเมริกาเติบโตขึ้น และรัฐบาลกลางได้ปรับเปลี่ยนเปอร์เซ็นต์การใช้จ่ายจากความพยายามที่เน้นที่อนาคตอย่างเช่นการวิจัยและพัฒนาไปเป็นการให้สิทธิต่างๆ เช่น ประกันสังคมแน่นอนว่า การวิจัยและพัฒนาของรัฐบาลคือการลงทุนในระยะยาว แต่เป็นการลงทุนที่มีผลประโยชน์ในระยะสั้นอย่างสำคัญ ช่วยสร้างรากฐานให้แก่ส่วนประกอบมากมายในสมาร์ทโฟนยุคปัจจุบัน ซึ่งนำไปสู่การเติบโตและความสำเร็จของธุรกิจต่างๆ เช่น ธุรกิจของเรานี่คือการคำนวณแบบคร่าวๆ (และไม่สมบูรณ์) ในงบประมาณกลาง ที่แม้ว่าเราอาจอภิปรายได้ว่าแต่ละรายการนั้นอยู่ที่ส่วนใดบ้าง แต่การประมาณการณ์เผยให้เห็นถึงสาระสำคัญที่เบี่ยงเบนไปที่อดีตและปัจจุบันโดยมีค่าใช้จ่ายในอนาคต:
การใช้จ่ายประจำปีงบประมาณ 2019 โดยฟังก์ชันงบประมาณ
% ของงบประมาณโดยรวม
อดีต/ปัจจุบัน
Medicare
16.80%
ประกันสังคม
15.79%
กลาโหม
15.27%
สุขภาพ
10.50%
ดอกเบี้ยสุทธิ
8.45%
ความมั่นคงด้านรายได้
8.21%
รัฐบาล
5.81%
สิทธิประโยชน์และบริการสำหรับทหารผ่านศึก
3.13%
การบริหารงานยุติธรรม
1.18%
เกษตรกรรม
0.59%
ผลรวมโดยประมาณปัจจุบัน/อดีต
85.73%
อนาคต
การศึกษา, การฝึกอบรม, บริการสังคม
2.24%
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
1.05%
การขนส่ง
1.73%
การพัฒนาชุมชนและภูมิภาค
0.88%
การพัฒนาชุมชนและภูมิภาค
0.56%
พลังงาน
0.35%
อนาคตทั้งหมดโดยประมาณ
6.81%
ไม่ใช่ความลับเลยที่ประเทศของเราให้ความสำคัญกับธุรกิจเป็นอันดับหนึ่งพวกเราที่ Snap ได้รับผลประโยชน์มากมายมหาศาลจากนโยบายเหล่านี้ แต่ผมเชื่อว่าตอนนี้ถึงเวลาที่เราต้องให้ความสำคัญกับประชาชนชาวอเมริกันเป็นอันดับแรก
ผมเชื่อว่าขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดคือการยืนยันคำมั่นสัญญาของเราที่มีต่อค่านิยมการก่อตั้งประเทศชาติอีกครั้ง ซึ่งได้แก่ อิสรภาพ ความเท่าเทียมกัน ความยุติธรรม ชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาความสุขเราต้องทำงานร่วมกันเพื่อสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกันเพื่อความสำเร็จในอนาคต และนิยามสิ่งที่เราต้องการให้อเมริกาเป็นเพื่อลูกหลานของพวกเรานี่จะต้องเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับชาวอเมริกันทุกคนและเป็น "โดยประชาชน เพื่อประชาชน"หากเราสามารถกำหนดลักษณะของชาติที่เราต้องการจะเป็นได้ เราก็จะสามารถเริ่มต้นดำเนินการและปรับใช้ค่านิยมของเรากับการตัดสินใจสำคัญที่จะต้องทำเพื่อทำให้วิสัยทัศน์ร่วมกันของเราได้กลายเป็นความจริงขึ้นมาได้
นอกจากนี้ เรายังต้องเริ่มกำหนดความสำเร็จของเราในแง่ของการเติมเต็มค่านิยมของเรา มิใช่เกณฑ์การวัดระยะสั้นที่โง่เขลา เช่น GDP หรือตลาดหุ้นเมื่อค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพของคุณเพิ่มขึ้น ไม่ว่าคุณจะได้รับมูลค่าเท่าใดก็ตาม GDP ก็จะเพิ่มขึ้นหากเฮอริเคนถล่มเมืองเข้าทำลายบ้านเรือนมากมายและเราต้องสร้างบ้านเรือนขึ้นใหม่อีกครั้ง GDP ก็จะเพิ่มขึ้นGDP เป็นเกณฑ์การวัดที่ไม่ถูกต้องซึ่งมิได้สะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่สนับสนุนให้เกิดความสุขที่แท้จริงของมนุษย์การแสวงหาความสุขจะต้องขยายออกไปเกินกว่าการแสวงหาความมั่งคั่ง
เราควรจัดตั้งคณะกรรมการที่เป็นกลางและมีความหลากหลายโดยอยู่บนความจริง ความสมานฉันท์ และการชดเชยเยียวยาเราต้องเริ่มกระบวนการหนึ่งขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าชุมชนผิวดำของอเมริกานั้นมีสิทธิ์มีเสียงทั้งประเทศ ตรวจสอบกระบวนการยุติธรรมทางอาญาในด้านความลำเอียงและอคติ สร้างความเข้มแข็งให้แก่กรมสิทธิพลเมืองของกระทรวงยุติธรรม และดำเนินการตามคำแนะนำสำหรับความสมานฉันท์และการชดเชยเยียวยาที่เกิดขึ้นจากคณะกรรมการมีหลายสิ่งที่ต้องเรียนรู้จากผู้ที่กล้าหาญที่ดำเนินกระบวนการที่คล้ายคลึงกันที่เกิดขึ้นหลังจากความโหดร้ายทั่วโลก และเราควรเริ่มกระบวนการที่สะท้อนถึงค่านิยมของชาวอเมริกัน และช่วยให้ประเทศชาติของเราสร้างความเปลี่ยนแปลงและเยียวยาที่จำเป็น
เราจะต้องเริ่ม "เครื่องมือสร้างโอกาส" ในอเมริกาโดยการลงทุนในการศึกษา การดูแลสุขภาพ และที่อยู่อาศัย เพื่อทำให้ส่วนผสมพื้นฐานเหล่านี้ของสังคมที่เสรีและยุติธรรมสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นและราคาไม่แพงสำหรับทุกคน
ผมเชื่อว่าเหตุผลหนึ่งที่ผู้ประกอบการในอเมริกาลดลงอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ช่วงปี 1980 นั่นเพราะการขาดเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคมที่เพียงพอการเป็นผู้ประกอบการขึ้นอยู่กับการที่ผู้คนสามารถรับความเสี่ยงเพื่อเริ่มต้นธุรกิจได้ ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำเช่นนั้น หากไม่มีเครือข่ายความปลอดภัยแบบที่ผมเคยมีในปัจจุบัน ผู้ที่ต้องการเป็นผู้ประกอบการต้องแบกรับหนี้สินทางการศึกษา และต้องเผชิญกับอัตราค่าแรงที่ซบเซาและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นซึ่งทำให้ยากต่อการประหยัดเงินทุนเมล็ดพันธ์ที่จำเป็นในการเริ่มต้นธุรกิจ
การลงทุนในอนาคตของประเทศของเราเพื่อประโยชน์ต่อลูกหลานของเราจะมีค่าใช้จ่ายสูงเราจะต้องจัดตั้งระบบภาษีเงินได้ที่ก้าวหน้ามากขึ้นและภาษีอสังหาริมทรัพย์ที่สูงขึ้น และเราต้องการให้บริษัทต่างๆ จ่ายภาษีในอัตราที่สูงขึ้นในขณะที่เรากำลังลงทุนในอนาคต เรายังจะต้องลดการขาดดุลของรัฐบาลกลางด้วย เพื่อที่เราจะได้พร้อมยิ่งขึ้นที่จะรับมือกับผลกระทบภายนอกที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตบนโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วสรุปแล้ว คนแบบผมจะจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น และผมเชื่อว่ามันจะคุ้มค่าเพื่อสร้างสังคมที่มีประโยชน์ต่อพวกเราทุกคน
การเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเหล่านี้อาจ "ไม่ดี" สำหรับธุรกิจในระยะสั้น แต่เนื่องจากนั่นแสดงถึงการลงทุนในระยะยาวในประชาชนของประเทศเรา ผมเชื่อมั่นว่าเราจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ระยะยาวอันมากมายร่วมกัน
เหตุใดการเปลี่ยนแปลงนี้จึงยังไม่เกิดขึ้นผมขอโต้แย้งว่านั่นเป็นเพียงเพราะว่ากลุ่มคนยุคเบบี้บูมเมอร์ที่เป็นเสียงข้างมากเด็ดขาดทั่วทุกสาขาของรัฐบาลของเราได้แสดงให้เห็นถึงความสนใจเพียงน้อยนิดต่อการสร้างอนาคตที่ดีขึ้นให้แก่ลูกหลานของพวกเขาเป็นเวลาหลายทศวรรษที่รัฐบาลของเรามุ่งมั่นที่จะใช้กลยุทธ์การลดภาษีเงินกู้และให้สิทธิการใช้จ่าย เพื่อส่งเสริมองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของพวกเขา นั่นคือกลุ่มคนยุคเบบี้บูมเมอร์แน่นอนว่า กลุ่มคนยุคเบบี้บูมเมอร์นั้นถือครองความมั่งคั่งของครัวเรือนทั้งหมดเกือบ 60% ในอเมริกากล่าวคือ มีมหาเศรษฐีอยู่ประมาณ 3%ตัวอย่างเช่น เมื่อกล่าวถึงประกันสังคม เราให้เงินทุนแก่โครงการที่มอบผลประโยชน์ให้แก่คนรุ่นที่มั่งคั่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกาโดยไม่มีการทดสอบในรูปแบบใดเลย
งานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่า เมื่อคนรุ่นที่แก่กว่ามองไม่เห็นภาพสะท้อนของตนเองในคนรุ่นใหม่ พวกเขาจะเต็มใจน้อยลงที่จะลงทุนในอนาคตของพวกเขาในอเมริกา กลุ่มคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์มีคนผิวขาว 70% และ Gen Z มีคนผิวขาว 50%การเปลี่ยนแปลงทางประชากรของอเมริกานั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยเหตุนี้ คำถามก็คือ เราสามารถทำงานร่วมกันเพื่อสร้างประเทศชาติที่สะท้อนถึงค่านิยมการก่อตั้ง เยียวยาบาดแผลของอดีตที่ฝังลึก พยายามต่อสู้เพื่อกำจัดการเหยียดเชื้อชาติและความอยุติธรรม และสร้างโอกาสสำหรับทุกคนได้หรือไม่ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร หรือไม่ว่าพวกเขาจะเกิดที่ใดก็ตาม

ที่มา: https://money.cnn.com/interactive/economy/diversity-millennials-boomers/
As for Snapchat, we simply cannot promote accounts in America that are linked to people who incite racial violence, whether they do so on or off our platform. Our Discover content platform is a curated platform, where we decide what we promote. We have spoken time and again about working hard to make a positive impact, and we will walk the talk with the content we promote on Snapchat. We may continue to allow divisive people to maintain an account on Snapchat, as long as the content that is published on Snapchat is consistent with our community guidelines, but we will not promote that account or content in any way.
It is never too late to turn towards love, and it is my sincere and earnest hope that the leadership of our great country will work towards our founding values, our raison d’être: freedom, equality, and justice for all.
Until that day, we will make it clear with our actions that there is no grey area when it comes to racism, violence, and injustice – and we will not promote it, nor those who support it, on our platform.
This does not mean that we will remove content that people disagree with, or accounts that are insensitive to some people. There are plenty of debates to be had about the future of our country and the world. But there is simply no room for debate in our country about the value of human life and the importance of a constant struggle for freedom, equality, and justice. We are standing with all those who stand for peace, love, and justice and we will use our platform to promote good rather than evil.
I know there are many people who feel that just because “some people” are racist, or just because there is “some injustice” in our society that we are “not all bad.” It is my view that humanity is deeply interconnected and that when one of us suffers, we all suffer. When one of us is hungry, we are all hungry. And when one of us is poor, we are all poor. When any one of us enables injustice through our silence we have all failed to create a nation that strives for its highest ideals.
Some of you have asked about whether Snap will contribute to organizations that support equality and justice. The answer is yes. But in my experience, philanthropy is simply unable to make more than a dent in the grave injustices we face. While our family has and will continue to contribute meaningfully to create opportunity for the underprivileged, and donate to the guardians of justice, these circumstances call for a more radical reorganization of our society. Private philanthropy can patch holes, or accelerate progress, but it alone cannot cross the deep and wide chasm of injustice. We must cross that chasm together as a united nation. United in the striving for freedom, equality, and justice for all.
We have a great many challenges in front of us. To confront the long legacy of violence and injustice in America – of which George, Ahmaud, and Breonna are the latest victims, with so many more unnamed – we must embrace profound change. Not merely a change in our country, but a change in our hearts. We must carry the light of peace and share the embrace of love with all humankind.
May peace be with you,
Evan